สุขภาพจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันเกิดเนาะ วันนี้วันเกิด เกิดมานี่ เวลามันเกิดมามีกายกับใจไง ถ้าร่างกายวิการ เห็นไหม ร่างกายวิการหรือหัวใจวิการ สุขภาพจิตน่ะ ถ้าร่างกายพิการ ร่างกายไม่ดีนี่ ทำให้สุขภาพจิตมันเสียหายได้ เพราะมันทุกข์มันร้อนไง แต่เวลาคนที่ว่าสุขภาพจิตไม่ดี เห็นไหม สุขภาพจิตไม่ดีทำไมร่างกายแข็งแรงมากเลย
เวลาสุขภาพจิตมันเสียนี่ ร่างกายน่ะไม่ค่อยให้ผลสักเท่าไร แต่ถ้าร่างกายเสียนี่มันให้ผลกับจิตใจมากเลย คนนั้นจะมีความน้อยเนื้อต่ำใจมาก ถ้าร่างกายไม่ดีนะ มันมีความทุกข์ หัวใจของมันมันจะกังวลไปตลอดเลย แต่เวลามุมกลับกันน่ะ มุมกลับกันคนที่ว่าหัวใจผิดปกติไปนี่ เขาจะเข้มแข็ง ร่างกายเขาจะอุดมสมบูรณ์ไปเลย เพราะกำลังของเขาเหลือใช้หมดเลย เพราะจิตมันไม่มายุ่งกับเรา คนเราถึงพูดกันไง ว่าอยากจะเป็นคนสติไม่ดี ว่ามันเป็นคนสบายไง
ไม่จริงหรอก มันเป็นต่ำอย่างนั้น ปกติของมนุษย์เราเราเป็นมนุษย์ ปกติของมนุษย์นี่ปกติของเรา สุขภาพจิตที่ดีหรือไม่ดีนี่ มันต้องพยายามรักษาของเรา การเกิดเป็นมนุษย์นี่สำคัญมากเลย เราได้เกิดเป็นมนุษย์น่ะมันมีหัวใจกับร่างกาย แล้วถ้าหัวใจร่างกายปกติด้วย ถ้าปกตินี่ มันปกติของเรา เราก็ทำคุณงามความดีของเราไปได้ตามความเห็นของเรา คนที่ฉลาด คนที่มีปัญญามาก อยู่ในทางโลกนี่มันก็ประกอบอาชีพมีความสำเร็จมาก ทำอะไรก็ได้เปรียบนะเพราะมันมีปัญญา นี่ความสำเร็จของเรา ในทางโลก เห็นไหม อันนั้นน่ะบุญกุศล ว่ามีบุญกุศลของเดิมสะสมมา
คนเราทำเหมือนกัน บางคนประสบความสำเร็จ บางคนไม่ประสบความสำเร็จ เห็นไหม โอกาสของคนไม่เหมือนกัน จังหวะและเวลานี่ บางคนมาพอดีเวลาเศรษฐกิจขาลงอย่างนี้ ทำไมไม่สมกับตัวเองอยากปรารถนาเลย แต่บางคนเวลาจบการศึกษามานี่ มันพอดีขึ้นไป เห็นไหม นี่บุญกุศลมันสร้างมาอย่างนั้น
นี่บุญกุศลภายนอก ทำให้เรามีปัญญาขึ้นมา ทำให้เราขวนขวายทำคุณงามความดี คนจะขวนขวายทำคุณงามความดีนะ นี่โอกาส คนเลี้ยงลูกจะรู้เลย ถ้าลูกเราคนไหนดี คนไหนหยาบ คนไหนที่มีความรับผิดชอบสูง เห็นไหม บางคนไม่มีความรับผิดชอบเลย จะสอนอย่างไรก็แล้วแต่ นี่มันสะสมมาจากหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นได้เกิดได้ตายมา ทุกดวงใจนี่ได้เกิดได้ตายมาตลอด
แล้วเกิดมาแล้วนี่ เราเกิดมาปัจจุบันนี้ มันก็เป็นว่าร่างกายสมบูรณ์ จิตใจก็สมบูรณ์ เห็นไหม นี่สุขภาพจิตสมบูรณ์ แต่สมบูรณ์ขนาดนี้มันก็เป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกคือเรื่องของวาสนา เรื่องของวาสนาได้เกิดมาพบพุทธศาสนา แต่สุขภาพจิตมันจะสูงขึ้นไปอีก เห็นไหม นี่ ตโป จ ธมฺมจริยา จ ในมงคล ๓๘ ประการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ไง ไม่คบคนพาล อเสวนา จ พาลานํ เห็นไหม เราปกติของเราแล้ว เรามีปัญญาของเราแล้ว เรายังต้องมีที่เปรียบเทียบเลย เป็นมงคลกับชีวิตของเรา
ถ้ามงคลกับชีวิตของเรานะ ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต เกิดในประเทศอันสมควรนี่มันสมควรไม่สมควร เกิดในเมืองไทย เห็นไหม อุดมสมบูรณ์ไปหมด ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมสมบูรณ์ แล้วยังเกิดที่ว่าผู้ปกครองอยู่ในศีลในธรรมอีก เราจะมีความสุขของเราไปเรื่อย นี่เกิดในประเทศอันสมควร อันนั้นเป็นโลกนะ
แต่ถ้ามาเกิดในประเทศอันสมควร เห็นไหม นี่มีพุทธศาสนา มีศาสนา คนป่วย คนเราป่วยแล้วไม่มียานี่ อยากอยู่ เวลาป่วยรู้จักว่าป่วยอยู่ อยากจะเอาตัวออก อยากจะให้หายป่วย แต่ไม่มียา มันก็ไม่หายป่วย ก็ต้องทนทุกข์ทรมานไป บางโรคป่วยแล้วหายเองได้ บางโรคป่วยแล้วหายเองไม่ได้ ถ้าไม่รักษาต้องตายไป นี่ถ้าไม่มียาทำอย่างไร นี่เราเกิดในประเทศอันสมบูรณ์ เกิดในประเทศอันสมควร มีพุทธศาสนาไง มียาจะทำให้เราพ้นออกไปจากกิเลสได้ เห็นไหม นี่เกิดในประเทศอันสมควร
แล้วนี่สุขภาพจิตดีแล้ว มีความฉลาดในโลกแล้วนี่ มันจะมีความฉลาดในการเอาตัวรอดไหม นี่ตรงนี้สำคัญมาก ฉลาดในการเอาตัวรอด เห็นไหม เพราะว่าเอาตัวรอด เราไม่รอดก่อนหรอกนะ เกิดมานี่ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน หาไปขนาดไหนนะ แต่ลองถามหัวใจตัวเองนี่ ตั้งปัญหาขึ้นมา มันจะสะกิดใจทันทีเลยว่า ความสุขอยู่ที่ไหน? ถามตัวเองว่าความสุขอยู่ที่ไหน มันจะเริ่มคิดเลยว่า อะไรคือความสุขไง
ถ้าว่าวัตถุสิ่งของ สิ่งที่ว่าเราปรารถนา เราอยากได้ ความคิดอยากที่ว่าปรารถนาอย่างใดพยายามแสวงหาจะเป็นความสุข มันได้มามันมีความสุขชั่วคราว นี่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ถ้าคนเรามืดบอดก็มองไม่เห็น เห็นไหม สุขด้วยอามิสไง สุขด้วยสิ่งที่ปรารถนาแล้วสมความปรารถนานี่เป็นสุข แต่มันของชั่วคราว
แล้วความปรารถนานี้มันมีความพอไหม? ความปรารถนานี้ไม่มีความพอ นี่สุขภาพจิตมันดีมันดีของมันไปประสาของว่ามันเกิดดับของมันเอง มันคิดของมันเอง แต่ไม่มีอะไรเข้าไปทำมัน ถึงว่า ตโป จ ธมฺมจริยา จ ตโป ตบะธรรม เห็นไหม ตบะธรรมเข้าไปพยายามควบคุมใจของเราให้สุขภาพจิตนี้มันดีขึ้นมา สุขภาพจิตปกติมันก็เป็นปกติของมัน
แต่สุขภาพจิตตัวนี้ ถ้ามันใช้ของมันขึ้นไป มันเกิดดับ ๆ แล้วมันก็ใช้พลังงานออกไปตามประสาโลกเขา โลกเขาจะว่ากันไง เราเกิดมาแล้ว เราก็ใช้ชีวิตของเราไปให้มีความสุขในโลกนี้มันก็พอเพียงเถิด ไม่ต้องไปแสวงหาอย่างอื่นเลย เห็นไหม นี่คิดกันได้แค่นั้น คิดกันแบบว่า คนตาบอดจูงคนตาบอดไง เด็ก ๆ จูงเด็ก ๆ ไง ไม่มีผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าถึงสอน บอกว่า ถ้าในหมู่โคนั้นมีโคที่ฉลาด จะสามารถพาโคนั้นข้ามแม่น้ำได้ ไม่ไปเจอน้ำวนเจอกระแสน้ำพัดไป
อันนี้ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเจอพุทธศาสนา เจอพระพุทธเจ้าวางไว้ เห็นไหม ข้ามพ้นไป เกิดตาย ๆ มันเกิดตายนี่ เวลาเกิดตายมันไม่ข้ามพ้น วัฏวนไง เกิดดับ ๆ ธรรมชาตินั้นก็เกิดดับ เพราะอะไร? เพราะพลังงานของจิตมันใช้ไป มันคิดไป เวลาพลังงานมันใช้ไปก็หมดไป หมดไปก็คิดขึ้นมาใหม่ เพราะมันไม่รู้จักตาย พลังงานอันนี้มันเป็นพลังงานของใจที่มันไม่รู้จักตาย เกิดดับ ๆ แล้วขันธ์ ๕ สวมใช้ขึ้นไป ๆ ทำไมว่าขันธ์ ๕ สวมใช้ขึ้นไปล่ะ?
ถ้าเป็นสัตว์อื่นมันมี เห็นไหม ขันธ์ ๔ ขันธ์ ๑ มันมีไม่แน่นอน เราเกิดในวัฏสงสาร ในวังวนของชีวิตนี่ ในวัฏฏะ ในนรก ในสวรรค์ ในมนุษย์เรา นี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์นี่มีการทางเลือกให้มีทางออกได้ เพราะมีศาสนาให้เรามีทางออกได้ไง ถึงว่านี่ ตโป จ คือทำใจของเราให้สงบ จากหัวใจที่มันเกิดดับที่มันใช้พลังงานของมันไปโดยธรรมชาติของมันน่ะ เราควบคุมมัน เห็นไหม ควบคุมไม่ให้มันใช้ไปพลังงานของมัน
เช่น มันจะคิดไปฟุ้งซ่านไป คิดตลอดไปนี่ เราบอกว่าเวลางานให้เป็นเวลางาน หมดจากเวลางานแล้วให้มันอยู่กับความสงบ ให้มันสะสมพลังงานในตัวมันเอง พลังงานที่มันเคยเกิดดับใช้ตลอดไป มันเกิดมาแล้วมันก็สะสมในตัวมันเอง สะสมในตัวมันเอง เห็นไหม
ในคำบริกรรมของเรานี่ เวลาเราคิดเราคิดไป จบกระบวนการหนึ่งเราคิดเรื่องอะไรเรื่องหนึ่ง มันจะหมุนออกไปเรื่อย ๆ เราคิดพุทโธ ๆ ๆ อยู่กับที่ หรือเราคิดอานาปานสติอยู่กับที่ พลังงานนั้นมันจะสะสมอยู่ที่ตัวเราเอง นี่สะสมไว้ สะสมไป พอสะสมขึ้นไปนี่ มันจะมีพลังงานขึ้นมา ถึงบอกว่า สุขภาพจิตมันจะดีขึ้นตรงนี้ไง
สุขภาพจิตจะต่างกับสุขภาพจิตจากข้างนอกเลย สุขภาพจิตจากข้างนอกนี่คิดไป เหนื่อยมาก เหนื่อยไปมันก็หยุดยั้งไม่ได้ เราจะหยุดยั้งความคิดเราไม่ได้ มันจะคิดไปตลอด แล้วเราก็บอกว่า มันเป็นอย่างไร แต่ในศาสนาบอกนี่คือแขกจรมา อารมณ์นี่ หัวใจกินอารมณ์เป็นอาหาร กินความคิดนี้เป็นอาหาร กินความคิดเป็นอาหารมันก็แสดงตัวออกมา เหมือนน้ำ ถ้าเจือด้วยสีจะเห็นว่าน้ำนั้นสีอะไร ถ้าน้ำนี้น้ำใสอยู่ในแก้วเราจะมองไม่เห็นน้ำนั้นสีอะไรเลย
ฉะนั้นอย่างนี้พอมันเจือด้วยอารมณ์ขึ้นไป มันก็เหมือนกับแขกจรมา พอแขกจรมาเขาก็รับแขกไป รับแขกไปก็ฟุ้งซ่านไป ๆ นี่ธรรมชาติของใจเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีศาสนาเราก็ไม่คิดว่าเราจะใช้ประโยชน์จากใจดวงนี้ได้อย่างไร ใช้ประโยชน์จากใจดวงนี้คือว่า ให้มันสงบเข้ามา พยายามใช้คำบริกรรมให้สงบเข้ามา ๆ เห็นไหม สุขภาพจิตจะดีขึ้น ดีขึ้นเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอิสระกับตัวเอง
แต่ก่อนว่าแขกจรมาเราก็ไม่รู้ว่าแขกจรมา อารมณ์เกิดขึ้นเราก็ไม่รู้อารมณ์ เราคิดของเราไป ๆ เราว่าเป็นเรา เราคิดไปตลอด เรากับแขกนั้นทำงานร่วมกันไปตลอดเลย ทำงานร่วมกันมันก็ฟุ้งซ่านออกไป ๆ เห็นไหม แต่ทางโลกว่าเป็นคนที่ฉลาด คนที่ใช้ปัญญาความคิดเพื่อประกอบอาชีพ ประกอบอะไรไป แล้วมันก็เผาลนตัวเองไปพร้อมกัน
ถ้าประกอบอาชีพด้วยความเป็นธรรม เห็นไหม มีอำนาจวาสนาแล้วทำเป็นธรรม อันนั้นเป็นธรรม แต่มันคิดแล้วมันหยุดไม่ได้ มันฟุ้งไป ๆ มันออกไปนี่ อันนั้นเป็นกิเลส กิเลสคือสิ่งที่ไม่เป็นไปตามธรรม ธรรมะคือสิ่งที่เกิดขึ้น เราทำประกอบธุรกิจนั้นถูกต้อง ทำคุณงามความดีแล้วมันได้มา เพราะเราทำคุณงามความดีแล้ว มีเหตุต้องมีผล
แต่สิ่งที่มันคิดเกินกว่านั้นไปนั้นคือตัณหา แล้วหยุดไม่ได้ ถึงว่าหยุดตัวนี้ต่างหาก โทษมันอยู่ตรงนี้ พอเราให้คำบริกรรมเข้าไปนี่ จากที่ว่ามันกินอารมณ์เป็นอาหาร ก็กินพุทโธคำบริกรรมเข้าไป เห็นไหม นี่กินพุทโธคำบริกรรมเข้าไปมันก็เป็นอิสระเข้ามา เพราะคำนี้เป็นธรรม ธรรมไม่เหมือนโลก โลกมันสืบต่อ มันมีอารมณ์โลก เห็นไหม ประโลมโลก อารมณ์ที่ประโลมโลกมันจะคิดไป ฟุ้งซ่านไป เสียใจไปกับเขา
แต่คิดเหมือนกัน แต่คิดในคำบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ มันตัดออก มันสะสมเข้ามา พอมันสะสมเข้ามาก็เป็นอิสระ จากที่ว่าแขกจรมา ทำงานกับแขกโดนแขกลากไป โดนอารมณ์กระชากลากไป นี่ลากหัวใจไป แล้วหัวใจไม่ไป เห็นไหม นี่สุขภาพจิตต้องดีกว่าเก่า ดีกว่าเก่าเพราะตัวเองต้องรู้เองด้วย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน หัวใจมันจะปล่อยสิ่งนั้นออกมาแล้วมันจะเป็นอิสระเข้ามา เห็นไหม นี่สุขภาพจิตดีขึ้น
ตโป จ ธมฺมจริยา จ นี่เขาว่า ทำความสงบของใจนี่เป็นตโป จ เป็นตโป เป็นตบะธรรม ตบะธรรมมันก็เผาลนไง เผาลนหัวใจ เผาลนกิเลสนั้น กิเลสมันเป็นเนื้อในน่ะ มันเหมือนเชื้อโรค มันอยู่ที่ร่างกายของเรา เชื้อของวัฏฏะ ยางเหนียวนี่ตัณหาความทะยานอยาก มันอยู่ในหัวใจ มันไม่อยู่ที่แขกนั้น แขกนั้นเป็นอารมณ์ที่ห่อหุ้มหัวใจไว้ เพราะหัวใจนี่เป็นมนุษย์ มันก็เลยมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เห็นไหม ห่อหุ้มตัวนั้น
นี่พอมันเข้ามาถึงเนื้อของใจ มันผ่านจากสิ่งที่ห่อหุ้มเข้าไป ผ่านจากบรรยากาศของจักรวาลเข้าไปถึงตัวของแกน ตัวของโลก นี่ก็ผ่านจากบรรยากาศของแขกที่มันควบคุมใจ จากขันธ์ ๕ เข้าไปถึงตัวใจ นั่นน่ะมันจะไปเผาลนตรงนั้นอีกทีหนึ่ง นี่ตโป จ ธมฺมจริยา จ เผาตรงนั้น ถึงพรหมจรรย์ไง เผาใจดวงนี้ถึงพรหมจรรย์ เผาใจดวงนี้ถึงที่สุดไง ถึงที่สุดแห่งทุกข์
แต่ถ้าเราตีความ คำว่า เผา คือว่าการจดจ่อจ้องอยู่ มันไม่ใช่ การจดจ่อ การจ้องอยู่คือการควบคุม ควบคุมให้ใจนี้มีพลังงานขึ้นมา ควบคุมให้ใจนี้เป็นอิสระจากแขก เห็นไหม แล้วต้องใช้วิปัสสนาคือว่า เข้าไปชำระ ใช้ยานี่ มัคคะทางอันเอกนี่ เข้าไปทำลายเชื้อภพของหัวใจ สิ่งที่มันสะสมอยู่ในใจดวงนั้นน่ะ สิ่งที่มันสะสมอยู่ ทำลายจนออกจากใจ ใจนี้เป็นอิสระจากแขกจรมานั้น เป็นอิสระมีความสุขอันหนึ่ง สุขภาพจิตอันนั้นจะดีขึ้นมามากเลย มากกว่าสุขภาพจิตที่ว่าอยู่เป็นขี้ข้าเป็นทาสเขา เห็นไหม เป็นอิสระชั่วคราว
แต่สุขภาพจิตที่ตบะธรรมนั้นเผาจนถึงพรหมจรรย์ถึงสิ้นสุดของเชื้อโรคนั้นน่ะ เป็นอิสรเสรีจากหัวใจนี่ สุขภาพจิตอันนี้มันยิ่งกว่าสิ่งที่ปรารถนาใด ๆ ของสัตว์โลกทั้งหมด คือว่าความสุขที่แท้จริงมันอยู่ตรงนั้นไง สุขภาพจิตของเราจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าเราสนใจ อำนาจวาสนาอยู่ที่เราสนใจของเรา เราสนใจแล้วเราไขว่คว้าของเรา เราจะทำของเราได้
ถ้าเราทำของเราได้ก็เป็นสมบัติของเรา สมบัติของหัวใจดวงนั้นน่ะ หัวใจดวงนั้นเป็นที่ว่า ถ้ามันมืดบอดมันจะไม่มีการใฝ่หา มันไม่มีการตรึกตรอง ไม่มีการหาทางออก แต่ถ้าหัวใจดวงไหนมีการหาทางออก มันตรึกตรองอยู่ เห็นไหม มันตรึกตรองน่ะมันต้องมีทางไป มืดต้องมีสว่าง ทุกข์ต้องมีสุข สิ่งที่มันมีแล้วมันเป็นอดีตไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันนี้ทำให้ได้ดีขึ้นมา แล้วผลจะเกิดในปัจจุบันนั้น แล้วปัจจุบันนั้นมันจะเคลื่อนไปในอนาคต
อดีตอนาคตนั้นสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ เราแก้ไขในปัจจุบันธรรมนี้ ในเหตุการณ์ที่หัวใจมันพอใจทำ แล้วแก้ไขที่ตรงนี้ แล้วมันจะสิ้นสุดทุก ๆ อย่าง อันนั้นเป็นผลของสิ่งที่เราเชื่อมั่นและทำของเรา มันจะเป็นผลกับดวงใจดวงนั้นนะ ดวงใจของชาวพุทธเรานี่แหละ เอวัง